อีกไม่กี่พันล้านปี อาจมีสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ยูโรปา

ดวงจันทร์ยูโรปา คือหนึ่งในบริวารของดาวพฤหัส ถูกค้นพบโดยกาลิเลโอ กาลิเลอี เมื่อปี ค.ศ.1610 และเมื่อไม่นานมานี้มนุษย์ได้ส่งยานอวกาศกาลิเลโอขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ดวงนี้แล้วพบว่า พื้นผิวดาวถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง และชั้นบรรยากาศที่เบาบางก็เต็มไปด้วยก๊าซออกซิเจน เท่านั้นยังไม่พอ จากการวิเคราะห์พื้นผิวดาวแล้วพบว่าพื้นดินของดวงจันทร์ยูโรปานี้ มีลักษณะคล้ายกับดินบนโลก นั่นหมายความว่ามีโอกาสที่จะเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นได้บนดาวดวงนี้

ดาวเคราะห์แต่ละดวงในระบบสุริยะหนึ่งๆ ต่างมีช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต นั่นเป็นเพราะธรรมชาติของดวงอาทิตย์เมื่อจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ ดังเช่นโลกของเราที่มีสิ่งมีชีวิตในช่วงเวลาหนึ่ง และในอีกไม่กี่พันล้านปีสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกแผดเผาจากความร้อนของดวงอาทิตย์ที่ขยายใหญ่ขึ้น บริเวณที่สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีพได้ก็จะขยายออกไปดังภาพ

habitable-zone
 ขนาดดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน และแถบสีเขียวแสดงบริเวณที่เหมาะสมแก่การดำรงชีพ ซึ่งโลกของเราอยู่ในนั้น
Photo credit: Cornell University 
habitable-red-giant
ขนาดของดวงอาทิตย์ในอนาคตอีก 7.9 พันล้านปีข้างหน้า แถบสีเขียวโซนดำรงชีพจะขยายออกไปยังดาวพฤหัส
Photo credit: Cornell University 

และแน่นอนว่าดวงจันทร์ยูโรปาที่มีทั้งน้ำและออกซิเจน อาจมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้เมื่อเวลานั้นมาถึง ในขณะเดียวกันนั้นโลกของเราก็จะถูกแผดเผาจนมีสภาพไม่ต่างจากดาวศุกร์ในปัจจุบัน


แปลและเรียบเรียงโดย Dark Scientist
Twitter:@bckittis

Original Site: Jupiter’s Moons May Be Lifeless Now, But That Could Change in a Few Billion Years

Featured Image Credit:  masbt/flickr (CC0)

เจ้าหนอนเมือกสีเขียวนี่มันคือตัวอะไรกันนะ

บ่อยครั้งที่ทะเลจะเซอร์ไพรส์มนุษย์เราด้วยการส่งตัวประหลาดขึ้นมาบนบก ทั้งจับได้บ้าง และขึ้นมาเองบ้าง และล่าสุดเจ้าหนอนเมือกเขียวนี้ถูกพบที่ไต้หวัน มีคนถ่ายวิดีโอไว้และอัพโหลดในชื่อ Wei Cheng Jian สร้างความสยดสยอง สยิว น่ายี้ น่าขนลุกแก่ชาวเน็ตจำนวนมาก เรามาทำความรู้จักกับมันดีกว่า

Jon Norenburg นักวิทยาศาสตร์สัตววิทยา เขาอธิบายว่า สัตว์ประเภทนี้ไม่มีอันตรายใดๆ หนอนดังกล่าวเป็นสัตว์จำพวก Nemertean หรือพวกหนอนริบบิ้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lineus fuscoviridis สามารถพบได้ตั้งแต่ทะเลแถบญี่ปุ่นจนถึงฟิลิปปินส์ และยังพบได้ทั่วไปตามชายฝั่งทะเลเขตร้อนอีกด้วย เขาบอกว่า “สัตว์ที่เห็นในวิดีโอนั่น เป็นไปได้ว่ามันอาจจะคลานออกมาจากบางอย่างที่ถูกนำขึ้นมาจากทะเล” อย่างเช่น หินที่มีรูพรุน สาหร่ายที่เป็นก้อนๆ หรือแม้กระทั่งยางรถที่ถูกทิ้งลงทะเล

 John McDermott ได้อธิบายว่า “สัตว์กลุ่ม Lineus เป็นที่รู้จักกันในวงการว่ามันมีขนาดใหญ่พอสมควร และหนอนประเภทนี้อาจมีความยาวได้ถึง 2 เมตรเลยทีเดียว”

หนอนชนิดนี้มีมากกว่า 1,100 ชนิด และเป็นกลุ่มที่ชนิดของหนอนมากที่สุดในโลกอีกด้วย แต่หนอนกลุ่ม Lineus ก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในทะเลเสียทั้งหมด

แล้วอะไรคือเส้นสีชมพูที่ออกมาจากตัวมัน? อวัยวะสีชมพูที่เห็นนั่นคืองวงของมันนั่นเอง เป็นหนึ่งในอวัยวะที่ใช้จำแนกชนิดของหนอนกลุ่มนี้

พวกมันใช้อวัยวะที่คล้ายลิ้นนี้ในการจับเหยื่อ และยังมีหนอนอีกหลายประเภทที่จับเหยื่อโดยวิธีนี้ งวงของมันนั้นทั้งหนึบและเหนียว มันจะยื่นงวงออกไปพันรอบตัวเหยื่อ เช่นพวกหอยและปลิงทะเล เหยื่อของมันจะติดหนึบกับงวงและจะถูกกลืนเข้าไป

“และในบางครั้งมันสามารถกลืนปลิงทะเลที่ตัวใหญ่กว่ามัน 3 ถึง 4 เท่าเลยล่ะ นี่มันยิ่งกว่างูเหลือมเสียอีก” Norenburg กล่าว
. . .

บั้นปลายชีวิต

หนอนที่เห็นในวิดีโอนั้น มันอาจจะกำลังพยายามใช้งวงของมันตามหาแหล่งน้ำ หลังจากที่มันรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ในทะเล ซึ่งดูท่าทางแล้วไม่น่าจะรอด

“พวกมันอยู่ได้ไม่นานหากไม่ได้อยู่ในทะเล มันเคลื่อนที่ได้ด้วยเมือกเหนียวๆ ของมัน แต่เมือกนั้นก็ต้องการน้ำทะเลในการหล่อเลี้ยงตลอดเวลา และเมือกเจ้าหนอนในวิดีโอนั่นมันกำลังแห้งไปเรื่อยๆ คล้ายกับเราอ้าปากนานๆ จนน้ำลายแห้ง ท้ายที่สุดมันจะไปไหนไม่ได้และแห้งตายติดอยู่กับหินแถวนั้น” Norenburg อธิบายเพิ่มเติม

….

ท้องทะเลสร้างความตื่นเต้นให้เราได้ทุกเวลา แล้วมาลุ้นกันว่าต่อไปจะเป็นตัวอะไรอีก

อ้างอิง :
– National Geographic, What’s the Giant, Slimy Worm That Horrified the Internet?

ทีมนักวิจัยได้สร้างขาหน้าของหนูขึ้นในห้องแลป

นับว่าเป็นก้าวสำคัญของวงการชีววิศวกรรมในเรื่องของการปลูกถ่ายอวัยวะ เมื่อทีมนักวิจัยได้สร้างเนื้อเยื่อขาหน้าของหนูขึ้นมาในห้องแลป ระบบหลอดเลือดและกล้ามเนื้อต่างๆ ทำงานได้สมบูรณ์ หลังจากพวกเขาปลูกถ่ายอวัยวะดังกล่าวไปยังหนูทดลอง พบว่าหลอดเลือดทำงานได้ตามปกติ มีเลือดหมุนเวียนสมบูรณ์ แม้กระทั่งกล้ามเนื้อก็ได้ยึดติดกับข้อเท่าและข้อต่อต่างๆ ในอุ้งเท่าเป็นอย่างดี

สำหรับคนที่สูญเสียขาไป การปลูกถ่ายอวัยวะคือความหวังเดียวของพวกเขาที่จะได้ขากลับคืนมา แต่นั่นหมายถึงพวกเขาต้องได้รับยาระงับภูมิคุ้มกัน เพื่อกันไม่ให้ร่างกายของเขาต่อต้านอวัยวะใหม่ นั่นคือเหตุผลที่นักวิจัยทั้งหลาย ต่างมุ่งเป้าไปที่การปลูกถ่ายอวัยวะจากสเต็มเซลล์ของผู้ป่วย แต่สิ่งที่ขาดหายไปก็คือโครงสร้างค้ำจุนเนื้อเยื่อเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ และทำให้เนื้อเยื่อมีรูปร่างตามที่เราต้องการ

ดั้งนั้น ทีมวิจัยซึ่งนำโดย Harald Ott แพทย์ประจำโรงพยาบาล Massachusetts General ได้ตัดเนื้อเยื่อขาหน้าของหนูทดลองออกไป จากนั้นจึงแทนที่ส่วนที่หายไปด้วยเซลล์ต้นกำเนิด เทคนิคนี้เรียกว่าการ Decellularization เคยถูกนำมาใช้ก่อนหน้านี้ในการสร้างอวัยวะ Bioartificial ขึ้นมา เช่น ตับ ไต หัวใจ และปอดในสัตว์ แต่ว่าการสร้างขาหนูขึ้นมานี้ เป็นการสร้างที่แตกต่างออกไป

“โครงสร้างตามธรรมชาติของขามนุษย์เราที่ซับซ้อน คือสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งในการจะสร้างขาใหม่ขึ้นมา” Ott อธิบายในข่าว “ขานั้นประกอบไปด้วย กล้ามเนื้อ กระดูก กระดูกอ่อน หลอดเลือด เส้นเอ็น เอ็นขนาดใหญ่ และเส้นประสาท ในการจะสร้างแต่ละอย่างที่กล่าวมานั้น ต้องอาศัยโครงสร้างค้ำจุนเฉพาะ ที่เรียกว่า The Matrix”

พวกเขาได้ใช้น้ำยาในการทำให้เซลล์หลุดออกจากขาหน้าของหนูที่ตายแล้ว เพื่อพวกเขาจะแน่ใจได้ว่าเส้นเลือดหลักและโครงข่ายเส้นประสาทจะยังคงอยู่ พวกเขาใช้เวลาเป็นสัปดาห์ในการนำเซลล์ออกจากขาของหนู ในขณะที่เส้นเลือดและเซลล์ต้นกำเนิดยังคงอยู่ เมื่อเซลล์ทั้งหลายหมดไปจากขาหน้าของหนูแล้ว พวกเขาแขวนมันไว้ในเครื่องปฎิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor) โดยเครื่องนี้จะคอยให้สารอาหารและใช้ไฟฟ้ากระตุ้น เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ (ดังภาพข้างล่าง)

 

เซลล์เส้นเลือดถูกฉีดเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่เพื่อสร้างเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดง ในขณะที่เซลล์กล้ามเนื้อถูกฉีดเขาไปโดยตรงในเมทริกซ์เพื่อให้กล้ามเนื้อมีรูปร่างตามที่กำหนด (ดังรูปด้านล่าง) 2 ถึง 3 สัปดาห์ต่อมา เมื่อขาของหนูถูกทำนอกจากเครื่องแฏิกรณ์ชีวภาพ พวกเขาสังเกตเห็นว่าเซลล์หลอดเลือด และเซลล์กล้ามเนื้อถูกสร้างขึ้นมาตามเมทริกซ์ที่กำหนดไว้

เพื่อพิสูจน์ว่าขาใหม่นั้นใช้การได้ พวกเข้าได้ใช้ไฟฟ้ากระตุ้มกล้ามเนื้อ เพื่อให้มันหดตัวและพบว่ามันมีความแข็งแรง 80% เมื่อเทียบกับหนูแรกเกิด หลังจากขานี้ถูกปลูกถ่ายไปยังหนูผู้รับแล้ว เลือกจะถูกเติมเข้าไปในระบบเลือดเพื่อหมุนเวียน เมื่อทดลองทำการกระตุ้นเล็กน้อย พบว่ากล้ามเนื้อส่วนที่ปลูกถ่ายขึ้นใหม่นั้นมีการหดเกร็งเหมือนกล้ามเนื้อปกติ ทั้งในส่วนของข้อเท้าและนิ้วเท้า

คลิปด้านล่างนี้แสดงการเจริญเติบโตแบบ Time Lapse ของเซลล์เนื้อเยื่อในขาหนู

อ้างอิง :
– Researchers Grow Rat Forelimb in the Lab
– MGH team develops transplantable bioengineered forelimb in an animal model

เคยสงสัยกันไหมครับว่า น้ำวนที่อยู่คนละซีกโลกจะหมุนไปทางเดียวกันหรือไม่

สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน นานๆ ทีผมจะได้เขียนบทความเองสักครั้งนึง และอาจจะมีการหยิบยกเนื้อหาจากที่อื่นมาบ้างเล็กน้อยตามอ้างอิงด้านล่าง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเคยดูจากรายการเมกาเคลฟเวอร์สมัยยังเป็นเด็ก มันน่าสนใจมากเลยทีเดียว และตอนนี้ได้มีคนนำเรื่องนี้มาทดลองและเผยแพร่ทาง Youtube ให้พวกเราได้ดูกัน มันน่าสนใจมากเลยทีเดียวผลจึงหยิบเรื่องนี้มาเขียนครับ

เคยไหมครับเวลาเราอุดน้ำไว้ในอ่างแล้วปล่อยมันออกไป เราจะสังเกตเห็นว่ามันจะมีน้ำวนโผล่ขึ้นตรงรูระบายน้ำคล้ายกับพายุทอร์นาโดเลย แล้วลองสังเกตอะไรที่ใหญ่กว่า เช่น พายุไต้ฝุ่น ลมหัวกุด หรือลมบ้าหมู อะไรก็ช่างแล้วแต่จะเรียกนะครับ สังเกตกันไหมครับว่ามันหมุนไปทิศทางเดียวกันหมด แล้วเคยคิดกันไหมว่าอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้มันหมุน แล้วอะไรที่กำหนดทิศทางการหมุนของมันล่ะ

บางคนอาจจะเคยได้ยินหรือเคยได้เรียนมาบ้างแล้ว ปรากฎการณ์นี้เรียกว่า Coriolis effect เป็นปรากฏการณ์ที่ของไหลใดๆ บนโลกที่ได้รับผลกระทบจากการหมุนของโลกนั่นเอง และนั่นทำให้ลักษณะการหมุนของน้ำวนและพายุในซีกโลกเหนือและใต้แตกต่างกัน


(เครดิตภาพ : Coriolis Effect | How We See the Environment)

จากภาพที่เห็นจะพบว่ายิ่งเข้าใกล้เส้นศูนย์สูตรมากเท่าไหร่ มวลอากาศจะยิ่งมีโมเมนตัมมากขึ้นตามการหมุนของโลก (โมเมนตัมคือความต้องการที่จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของวัตถุ) ทำให้ลมพัดไปทางตะวันออกไวกว่า เมื่อห่างออกไปจากเส้นศูนย์โมเมนตัมก็น้อยลง ทำให้ลมพัดไปทางตะวันออกช้ากว่า และด้วยความเร็วของลมที่ต่างกัน จึงเป็นสาเหตุของทิศทางการหมุนที่แตกต่างกันของพายุที่อยู่คนละซีกโลกนั่นเอง น้ำก็เช่นกันครับ เวลาเราเปิดจุกน้ำตู้ปลาหรือปล่อยน้ำออกจากอ่าง เจ้าแรงโมเมนตัมจากการหมุนของโลกนี้ หรือที่เรียกว่า Coriolis effect ก็จะส่งผลต่อทิศทางการหมุนของน้ำด้วยนั่นเองครับ แต่ถ้าน้ำมันหมุนๆ อยู่แล้วคุณถืออ่างน้ำเดินข้ามซีกโลกมันก็ไม่เปลี่ยนทิศนะครับ เพราะมันหมุนไปแล้วและเกิดโมเมนตัมในตัวเองไปแล้ว แรงโคริโอลิสจึงไม่มีผลใดๆ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจหรือยังงงๆ อยู่ ก็ดูคลิปด้านล่างเลยครับ รับรองว่าจะเข้าใจกระจ่างแจ้งเลยทีเดียว

เพื่อที่จะอธิบายปรากฎการณ์นี้ให้ชัดเจนมากขึ้น Derek และ Dustin จากรายการ Veritasium และ Smarter Every Day ได้ทำการทดลองเรื่องนี้ทั้งบนซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ดังวิดีโอด้านล่างนี้ และความพิเศษของการทดลองนี้คืออยากให้ทุกคนเล่นวิดีโอทั้งสองคลิปนี้พร้อมกัน เพราะอันหนึ่งถ่ายจากซีกโลกเหนือและอีกอันถ่ายจากซีกโลกใต้ และพวกเขาก็ได้ตัดต่อให้คลิปสองคลิปนี้เทียบการหมุนของน้ำให้เห็นแบบชัดเจนเลยล่ะครับ แนะนำให้ดูพร้อมกันตั้งแต่นาทีที่ 3.20 เป็นต้นไปครับ

อ้างอิง :
ข่าวจาก : iflscience.com, Do Toilets Really Flow In Opposite Directions In Different Hemispheres?
Featured Image Credit :​ factually.gizmodo.com, No, water doesn’t drain backwards when you cross the equator

ชายหนุ่มอายุ 19 ปี ได้คิดค้นวิธีการกำจัดขยะพลาสติกในทะเล

บทความโดย : Justine Alford
จาก : iflscience.com
แปลและเรียบเรียงโดย : Dark Scientist


จากที่ได้เขียนไปในบทความก่อนหน้านี้ว่ามีชายหนุ่มอายุน้อย ได้เดินหน้าโครงการเก็บกวาดขยะในมหาสมุทรแปซิฟิค และในบทความนี้ผมจะย้อนเวลากลับไปเมื่อเขายังอายุ 19 ปี ที่แนวคิดของเขาถูกนำมาสร้างเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริง และโครงการ The Ocean Cleanup ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

พลาสติก คือวัสดุที่มีราคาถูกนำมาใช้ได้หลากหลายแต่เป็นภัยกับสิ่งแวดล้อมอย่างมาก มนุษย์ผลิตพลาสติกขึ้นมาใช้ราวๆ 300 ล้านตันต่อปี และหากนับตั้งแต่ปี 1950 จนถึงปี 2014 รวมกันแล้ว เราผลิตพลาสติกขึ้นมามากถึง 6 พันล้านตันเลยทีเดียว พวกมันทั้งอุดตันท่อระบายน้ำ ทั้งปนเปื้อนอยู่ในดิน แม้กระทั่งในธารน้ำแข็งอาร์คติกก็ยังพบเศษพลาสติก มันก่อมลพิษให้กับมหาสมุทรและคุกคามชีวิตสัตว์ทั้งหลาย ล่าสุดมีผลการสำรวจพื้นผิวใต้ทะเลบริเวณนอกชายฝั่งยุโรปออกมา พบว่ามีขยะกระจายอยู่บนพื้นใต้ทะเลที่ความลึก 4.5 กิโลเมตร

ขยะพลาสติกในทะเลเป็นสิ่งที่พวกเราต้องตระหนักถึงผลกระทบของมัน เพราะมันส่งผลกระทบถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในท้องทะเล และจากการคาดการณ์พบว่าจะมีนกทะเลกว่า 1 ล้านตัว ที่ต้องตายแต่ละปีด้วยขยะพลาสติก สาเหตุที่พวกมันตายก็มีทั้งกินเข้าไป หรือไปอุดตันระบบหายใจ  ไม่เพียงแต่นกทะเลเท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบเช่นนี้ สัตว์ทะเลอื่นๆ ก็เช่นกัน และมันยังสร้างความเสียหายกว่า 1.27 พันล้านดอลล่าร์ต่อปี ให้กับการประมง และเรือที่เสียหายจากขยะเหล่านั้น รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการเก็บขยะปริมาณมหึมาออกจากทะเลด้วย

แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะมีองค์กรหนึ่งที่ชื่อว่า The Ocean Cleanup ก่อตั้งโดยชายหนุ่มที่มีอายุเพียง 19 ปี ชื่อ Boyan Slat เขาเชื่อว่าพวกเขามีวิธีที่จะกำจัดขยะออกไปจากทะเลได้ จากการศึกษาเรื่องนี้มานานนับปี พวกเขาได้คิดค้นวิธีกำจัดขยะจากทะเลที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน จากข้อมูลวิธีการกำจัดและทรัพยากรที่พวกเขามี เมื่อนำไปคำนวณด้วยแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์แล้วพบว่า ภายใน 10 ปี จะสามารถกำจัดขยะในแพขยะแปซิฟิกได้มากถึง 50%


ภาพถ่ายทางอากาศของแพขยะขนาดยักษ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก

แล้วทำได้ยังไงล่ะ? วิธีการกำจัดขยะของพวกเขานั้นจะพึ่งพากระแสน้ำและทิศทางลม ซึ่งเป็นวิธีการที่สะอาดที่สุดและไม่ก่อให้เกิดมลภาวะขณะที่ทำการเก็บกวาดขยะ พวกเขาจะใช้แผงกั้นลอยน้ำในการดักจับและรวบรวมขยะจากทะเล เพื่อลดความเสี่ยงในการเผฃอจับสัตว์น้ำขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่นวิธีการใช้ตาข่าย อาจจะมีสัตว์น้ำติดขึ้นมาได้

พวกเขาได้ทดสอบวิธีการเก็บขยะของพวกเขาครั้งแรกที่เกาะ Azores เพื่อทดสอบว่าแผงกั้นลอยน้ำของพวกเขานั้นใช้ได้ผล หลักจากที่เก็บขยะขึ้นมาได้พบว่าขยะส่วนหนึ่งสามารถนำไปแปรรูปเป็นวัสดุต่างๆ รวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อทำรายได้สนับสนุนพวกเขาได้อีกด้วย

โครงการทำความสะอาดมหาสมุทรนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดไว้ เพราะมันมีค่าใช้จ่ายสูงมาก พวกได้ประมาณค่าใช้จ่ายได้ราวๆ 31.7 ล้านยูโรต่อปี (ประมาณ 1,300 ล้านบาท) ฟังดูเหมือนมันจะแพงมากและพวกเขาคงทำต่อไม่ไหว แต่ว่ารายจ่ายที่ว่านั่นถูกกว่าวิธีการกำจัดขยะแบบปกติถึง 33 เท่า และเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้เหลือน้อยที่สุด โครงการ The Ocean Cleanup จึงได้ขอความร่วมมือไปยังสถาบันการวิจัยต่างๆ อีกทั้งยังได้รับการช่วยเหลือจากบริษัทเอกชน เพื่อที่จะดำเนินการขั้นตอนต่อไป ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบิน และกินพื้นที่บริเวณกว้าง ซึ่งอาจใช้งบประมาณขั้นต้นถึง 2 ล้านเหรียญ

ในขณะที่โครงการทำความสะอาดนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อแก้ไขปัญหาขยะในทะเล Slat ได้เน้นย้ำในเนื้อหาข่าวว่า “ถึงแม้ว่าการทำความสะอาดครั้งนี้มันจะได้ผล แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา เราต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นั่นคือการหยุดทิ้งและหยุดปล่อยให้ขยะไหลลงสู่ทะเล”

อ้างอิง :
19 Year Old Develops Machine To Clean The Oceans Of Plastic
The Ocean Cleanup
http://plasticsoupnews.blogspot.com

หนุ่มอายุ 20 ปี จะเริ่มการ Big Cleaning มหาสมุทรในปี 2016 นี้

บทความโดย : Morenike Adebayo เมื่อ 1 มิ.ย. 2015
จาก : iflscience.com
แปลและเรียบเรียงโดย : Dark Scientist


มนุษย์ได้สร้างขยะพลาสติกกว่า 300 ล้านตันต่อปี ซึ่งขยะพลาสติกนั้นไม่สามารถย่อยสลายได้ในเวลาอันสั้น นี่เป็นข่าวร้ายสำหรับสภาพแวดล้อมที่ต้องรองรับพวกมัน อย่างเช่นกรณีที่มีชิ้นส่วนพลาสติกกว่า 5 ล้านล้านชิ้นโดยประมาณ กำลังลอยอยู่ในมหาสมุทรในตอนนี้ พลาสติกเหล่านี้กำลังคุกคามสื่งมีชีวิตในทะเล พวกมันอาจจะกินหรือดูดชิ้นส่วนพลาสติดเหล่านั้นเข้าไปในร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจ และพลาสติกที่พวกมันกินเข้าไปอาจทำให้พวกมันตายได้ และดูเหมือนว่าการจะกำจัดพลาสติกเหล่านี้มันเป็นอะไรที่มโหฬารและมีค่าใช้จ่ายที่เยอะมากๆ แต่ชายหนุ่มอายุ 20 ปี คนหนึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องมีทางออก

Boyan Slat ผู้ก่อตั้งและ CEO โครงการ The Ocean Cleanup ได้ประกาศว่าองค์กรของเขาจะเริ่มปฏิบัติการนี้ในปีหน้า เพื่อการกำจัดพลาสติกให้หมดไปจากทะเล

โครงสร้างของเครื่องที่เขาจะใช้ในการกำจัดพลาสติกในมหาสมุทรนั้น ถูกออกแบบให้ลอยอยู่ในทะเลได้เป็นเวลานานมากๆ เศษขยะทั้งหลายจะถูกลำเลียงผ่านสายพานขนส่งที่ยาวกว่า 2,000 เมตร โครงการ The Ocean Cleanup จะเริ่มปฏิบัติการที่นอกชายฝั่งของญี่ปุ่นในต้นปี 2016 นี้ และอาจใช้เวลาปฏิบัติการถึง 2 ปี

“การดูแลและแก้ไขปัญหาขยะในทะเลเป็นสิ่งที่ท้าทายมากสำหรับมนุษย์ในตอนนี้ เป้าหมายของโครงการนี้ไม่ใช่แค่กำจัดขยะตามแนวชายฝั่งให้หมดไป เป้าหมายที่แท้จริงก็คือการกำจัดแพขยะขนาดยักษ์ในแปซิฟิค ” Slat กล่าว “การเริ่มปฏิบัติการครั้งนี้จะทำให้เราได้ทราบถึงทรัพายากรที่ต้องใช้ทั้งหมดในโครงการ”

แต่งานหลักของเขาไม่ได้มีเพียง The Ocean Cleanup เพียงอย่างเดียว ยังมีโครงการย่อยชื่อว่า The Mega Expedition โดยโครงการนี้จะทำแผนที่ขยะในมหาสมุทรขึ้นมา และจะเริ่มปฏิบัติการสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยจะทำการปล่อยเรือจากท่าเรือในฮาวาย ประกอบไปด้วยเรือกว่า 50 ลำ เดินทางผ่านแอ่งขนาดใหญ่จากฮาวายถึงแคลิฟอร์เนีย กินพื้นที่กว่า 3,500,000 ตารางกิโลเมตร ของมหาสมุทรแปซิฟิค โดยมันจะทำการเก็บข้อมูลปริมาณขยะระหว่างทางแล้วนำไปรวมกับค่าที่วัดได้ย้อนหลัง 40 ปี

ลิ้งค์อ้างอิง : 20-Year-Old To Launch World’s First Ocean Cleaning System In 2016
Featured Image Credit : exergynews.com

นักวทิยาศาสตร์คาดการณ์ว่าน้ำแข็งบนเขาเอเวอร์เรสต์​อาจจะหมดไปภายในศตวรรษนี้

บทความโดย : Josh L Davis
จาก : iflscience.com
แปลและเรียบเรียงโดย : Dark Scientist


การปีนเขาที่เทือกเขาหิมาลัย คือสิ่งที่หลายๆ คนอยากจะทำ และด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอันเนื่องมาจากธารน้ำแข็งที่กัดเซาะหุบเขา ตั้งแต่ยอดเขาลงมาจนถึงเนินเขาด้านล่าง และธารน้ำแข็งนั้นไม่เพียงแต่ขัดเกลาภูมิประเทศให้สวยงาม แต่มันยังส่งผลไปถึงวัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นด้วย แต่จากที่ทราบกันอยู่แล้วว่าถ้าเรายังเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลกันอย่างไม่บันยะบันยัง เฉกเช่นที่เรากำลังทำกันอยู่ทุกวันนี้ ความสวยงามเหล่านี้คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน

มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ได้สร้างแบบจำลองการสูญเสียน้ำแข็งขึ้นมา เฉพาะในเขตภูเขาเอเวอร์เรสต์เท่านั้น ยังไม่รวมเทือกเขาหิมาลัยทั้งหมด เมื่อพวกเขาได้ทดลองใส่ข้อมูลก๊าซเรือนกระจก  และอัตราการเผาผลาญพลังงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลงไป พบว่าปริมาตรของธารน้ำแข็งที่ลดลงไปอาจมากถึง 70% ถึง 99% ของธารน้ำแข็งทั้งหมด และดูเหมือนว่าเอเวอร์เรสต์จะเริ่มสูญเสียน้ำแข็งขนาดมหึมาในทศวรรษหน้านี้

“สัญญาณบ่งบอกการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งในอนาคตในเขตนี้มันชัดเจนแล้ว และอัตราการสูญเสียน้ำแข็งอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณเหมือนที่ได้คาดการณ์ไว้ อันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ” Joseph Shea ผู้เชี่ยวชาญด้านธารน้ำแข็งจาก International Centre for Integrated Mountain Development ได้กล่าวไว้ ในรายงานผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ลงบนนิตยสาร The Cryosphere

นั้นหมายความว่ามันคือเรื่องที่ใหญ่โตมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ธารน้ำแข็งดังกล่าวนั้นมีปริมาณน้ำแข็งมากที่สุดจากธารน้ำแข็งทั่วโลก ถ้าไม่นับรวมธารน้ำแข็งที่ขั้วโลก และทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของมันจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะในเรื่องของน้ำกินน้ำใช้ น้ำที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า และการเกษตร “ในบรรดาธารน้ำแข็งทั้งหลายที่อยู่รอบๆ เอเวอร์เรสต์นี้ มีธารน้ำแข็งหนึ่งชื่อว่า Dudh Kosi น้ำที่ละลายมาจากธารน้ำแข็งนี้ จะรวมกันเป็นแม่น้ำ Kosi และการที่ธารน้ำแข็งหายไปนั้น มันส่งผลกระทบต่อเขตลุ่มแม่น้ำแน่นอน” Shea อธิบายเพิ่มเติม

และการที่ธารน้ำแข็งละลายยังเป็นสาเหตุของหิมะถล่ม แผ่นดินไหว และเกิดทะเลสาบขึ้น ทั้งหมดนี้อาจจะทำให้เขื่อนหลายเขื่อนบริเวณนั้นพังทลายได้ ในขณะเดียวกันธารน้ำแข็งที่ละลายจะทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำแถวนั้นเพิ่มมากขึ้นถึง 100 เท่าจากปกติ นั่นอาจหมายถึงน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ประชากรท้องถิ่นที่นี่ได้ฝากชีวิตไว้กับน้ำที่ละลายมาจากธารน้ำแข็งเพื่อที่จะอยู่รอดในฤดูแล้ง เพื่อรอฤดูมรสุมกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่น้ำในแม่น้ำก็มากพออยู่แล้วจากการละลายของน้ำแข็ง Shea บอกว่านั่นจะส่งผลให้น้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้นในระยะยาวอีกด้วย

ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาจากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 50 ปี ของสถานีอากาศในเขตดังกล่าว เพื่อทดสอบและเปรียบเทียบว่าโปรแกรมพยากรณ์ของพวกเขาทำนายได้ถูกต้องหรือไม่ และได้นำข้อมูลเหล่านี้มาช่วยเพิ่มความแม่นยำของโปรแกรม จากนั้นพวกเขาได้ใส่ค่าอุณภูมิในปัจจุบันลงไป พบว่าจะเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทั้งปริมาณหิมะ ฝน และอัตราการละลายของน้ำแข็ง

“เพื่อตรวจสอบความแม่นยำของโปรแกรมนี้ เราได้ใส่ค่าอุณหภูมิย้อนหลังเพื่อเปรียบเทียบถึง 8 ค่าด้วยกัน และยังเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งในอดีตกับอุณหภูมิในตอนนั้นอีกด้วย” Walter Immerzeel ผู้เขียนร่วมในการศึกษาครั้งนี้จากมหาวิทยาลัย Utrecht University ประเทศเนเธอแลนด์ พวกเขาพบว่าในปี 2100 น้ำแข็งจะหายไปจนเกือบหมด

ลิ้งค์อ้างอิง : Scientists Predict Everest Could Be Ice-Free By The End Of This Century

มาดูสัตว์ทะเลที่เพิ่งถูกค้นพบนอกชายฝั่งเปอร์โตริโกกัน

บทความโดย Morenike Adebayo เมื่อ 29 พ.ค. 2015
จาก : iflscience.com
แปลและเรียบเรียงโดย : Dark Scientist


จากการสำรวจทะเล Puerto Rican ที่ความลึกจนแสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง โดยนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก พวกเขาได้เจอกับสัตว์ทะเลมากมายที่ยังไม่ถูกค้นพบมาก่อน

นักวิทยาศาสตร์ได้ถ่ายวิดีโอพวกมันไว้ (คลิปด้านล่าง) และถ่ายทอดสดออนไลน์ โดยนำกล้องไปติดกับโดรนดำน้ำที่ควบคุมด้วยรีโมตคอนโทรลอีกที เพื่อการดำน้ำลงไปในส่วนที่ลึกกว่าคนทั่วไปจะดำลงไปได้

พวกเขายังมีห้องแชทบทอินเทอร์เน็ตเพื่อถามตอบพูดคุยเกี่ยวกับการสำรวจนี้ พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาทางทะเล สมุทรศาสตร์ และอนุกรมวิธาน

“พวกเราสามารถเชื่อมต่อกับนักวิทยาศาสตร์ได้ถึง 40 คนต่อวัน” Andrea Quattrini กล่าว

มาดูสัตว์ทะเลสีสันสดใสเหล่านี้จากคลิปวิดีโอนี้เลยครับ (คลิปวิดีโอโดย Quartz)

URL อ้างอิง : Newly Discovered, Unnamed Deep Sea Creatures Found Off The Coast Of Puerto Rico

มารู้จักกับเจ้ากบหน้าหงุดหงิดกันเถอะ

บทความโดย : Lindsey Robertson เมื่อ 11 ก.ย. 2014
จาก : thedodo.com
แปลและเรียบเรียงโดย : Dark Scientist


จากที่เห็นหน้าตาของมันดูหงุดหงิดเอาการ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ดุอะไรขนาดนั้น เจ้ากบตัวนี้มีชื่อว่า “Black Rain Frog” เจ้าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีใบหน้าหงุดหงิดนี้ มีปุ่มที่น่าเกลียดน่ากลัวอยู่รอบๆ ตัวมัน ดูจากสีหน้าแล้วมันคงไม่ชอบผิวตัวเองสักเท่าไหร่

เจ้า Black Rain Frog นี้คือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่อาศัยอยู่ในหลุมหรือโพรง มีถิ่นกำเนิดและอยู่อาศัยที่ชายฝั่งทางตอนใต้ของแอฟริกา มันมีกลิ่นตัวที่ค่อนข้างเหม็น เจ้ากบชนิดนี้มักจะขุดหลุมเพื่ออยู่อาศัย ลึกประมาณ 150 มิลลิเมตร

เห็นหน้าบึ้งอย่างนี้จริงๆ แล้วเจ้ากบชนิดนี้มันเป็นกบที่รักเดียวใจเดียวมาก เพราะมันค่อนข้างเอาใจใส่คู่รักของมัน และตัวเมียนั้นจะมีสารประกอบลึกลับที่มีความเหนียวหนึบออกมาจากหลังของมัน สารเหนียวหนึบนั่นทำให้ตัวผู้ไม่ลื่นไถลลงมาในขณะที่พวกมันกำลังปั่มปั๊มกันอยู่นั่นเอง

ในขณะที่ยังอยู่ในฤดูผสมพันธุ์ เจ้ากบ Black Rain Frog ตัวผู้ จะอยู่แต่ในหลุมของมันเพื่อรักษาไข่ที่ตัวเมียวางไว้ และส่งลูกอ๊อดออกมาสู่โลกภายนอก

เจ้ากบชนิดนี้มีกลไกการป้องกันตัวที่วิเศษสุดๆ ไปเลย ในกรณีที่พวกมันถูกโจมดี เมื่อบางคนกำลังกลัวมันและกำลังจะจับมันไปทิ้ง มันจะพองตัวออกด้วยอากาศ เพื่อที่จะทำให้มันตุ้ยนุ้ยมากขึ้นและดูน่าเกรงขาม ในบางครั้งมันทำแบบนี้ขณะอยู่ในหลุม จึงเป็นการยากที่จะจับมันออกมาจากหลุมของมัน ฉะนั้นจุดจบของมันจึงเหมือนกับลูกโป่งติดหลุม

เป็นการยากที่จะไปทำให้มันยิ้ม แต่นั่นแหละคือความน่ารักของมันเลยล่ะ เจ้ากบ Black Rain Frog นั้นพิสูจน์ให้เห็นว่ามีสัตว์อีกตั้งมากมายที่เรายังไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง

URL อ้างอิง : Meet The World’s Grumpiest Frog

หน้าตาของแต่ละประเทศเมื่ออยู่บนมหาทวีป Pangea

บทความโดย : Morenike Adebayo เมื่อ 29 พ.ค. 2015
จาก : iflscience.com
แปลและเรียบเรียงโดย : Dark Scientist


ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเดินทางจากประเทศจีนไปยังสหรัฐอเมริกา ผ่านแคนนาดา บราซิล และอินเดียโดยที่ไม่ต้องผ่านทะเลเลย มันคงจะดีมากเลย แต่เสียใจด้วยเพราะคุณพลาดโอกาสนั้นไปแล้วเมื่อหลายล้านปีก่อน และเมื่อวันเวลาผ่านไปนับล้านปี มหาทวีปแพนเจียก็ไต้แตกออกเป็นทวีปต่างๆ ดังที่เห็นในปัจจุบัน

ต้องขอแสดงความขอบคุณไปยังคุณ Massimo Pietrobon ที่สร้างแบบจำลองขึ้นมา ทำให้เราได้เห็นทวีปแพนเจียก่อนที่มันจะแตกตัวออกเมื่อ 200 ล้านปีที่แล้ว จนกลายเป็นทวีปและประเทศในปัจจุบัน

สามารถคลิกเข้าไปดูภาพขนาดใหญ่ได้ที่รูปข้างล่างนี้เลยครับ


มหาทวีปนี้ถูกล้อมรอบโดยอภิมหาสมุทรทรที่เรียกว่า “พันธาลาสซา” โดยแผ่นดินส่วนใหญ่จะอยู่ที่ซีกโลกใต้ซึ่งดูไม่เหมือนปัจจุบันที่แผ่นดินส่วนใหญ่อยู่บนซีกโลกเหนือ

หลักฐานที่บ่งบอกว่าโลกเคยมีทวีปแพนเจียมาก่อน ก็คือการค้นพบฟอสซิลที่มีลักษณะเหมือนกัน อย่างเช่นฟอสซิลของ เทอแรปซิด ไลซ์โตรซอรัส และลักษณะของหินที่คล้ายคลึงกัน ระหว่างชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้ และชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา