บทความโดย : Josh L Davis
จาก : iflscience.com
แปลและเรียบเรียงโดย : Dark Scientist
การปีนเขาที่เทือกเขาหิมาลัย คือสิ่งที่หลายๆ คนอยากจะทำ และด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอันเนื่องมาจากธารน้ำแข็งที่กัดเซาะหุบเขา ตั้งแต่ยอดเขาลงมาจนถึงเนินเขาด้านล่าง และธารน้ำแข็งนั้นไม่เพียงแต่ขัดเกลาภูมิประเทศให้สวยงาม แต่มันยังส่งผลไปถึงวัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นด้วย แต่จากที่ทราบกันอยู่แล้วว่าถ้าเรายังเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลกันอย่างไม่บันยะบันยัง เฉกเช่นที่เรากำลังทำกันอยู่ทุกวันนี้ ความสวยงามเหล่านี้คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน
มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ได้สร้างแบบจำลองการสูญเสียน้ำแข็งขึ้นมา เฉพาะในเขตภูเขาเอเวอร์เรสต์เท่านั้น ยังไม่รวมเทือกเขาหิมาลัยทั้งหมด เมื่อพวกเขาได้ทดลองใส่ข้อมูลก๊าซเรือนกระจก และอัตราการเผาผลาญพลังงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลงไป พบว่าปริมาตรของธารน้ำแข็งที่ลดลงไปอาจมากถึง 70% ถึง 99% ของธารน้ำแข็งทั้งหมด และดูเหมือนว่าเอเวอร์เรสต์จะเริ่มสูญเสียน้ำแข็งขนาดมหึมาในทศวรรษหน้านี้
“สัญญาณบ่งบอกการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งในอนาคตในเขตนี้มันชัดเจนแล้ว และอัตราการสูญเสียน้ำแข็งอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณเหมือนที่ได้คาดการณ์ไว้ อันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ” Joseph Shea ผู้เชี่ยวชาญด้านธารน้ำแข็งจาก International Centre for Integrated Mountain Development ได้กล่าวไว้ ในรายงานผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ลงบนนิตยสาร The Cryosphere
นั้นหมายความว่ามันคือเรื่องที่ใหญ่โตมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ธารน้ำแข็งดังกล่าวนั้นมีปริมาณน้ำแข็งมากที่สุดจากธารน้ำแข็งทั่วโลก ถ้าไม่นับรวมธารน้ำแข็งที่ขั้วโลก และทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของมันจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะในเรื่องของน้ำกินน้ำใช้ น้ำที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า และการเกษตร “ในบรรดาธารน้ำแข็งทั้งหลายที่อยู่รอบๆ เอเวอร์เรสต์นี้ มีธารน้ำแข็งหนึ่งชื่อว่า Dudh Kosi น้ำที่ละลายมาจากธารน้ำแข็งนี้ จะรวมกันเป็นแม่น้ำ Kosi และการที่ธารน้ำแข็งหายไปนั้น มันส่งผลกระทบต่อเขตลุ่มแม่น้ำแน่นอน” Shea อธิบายเพิ่มเติม
และการที่ธารน้ำแข็งละลายยังเป็นสาเหตุของหิมะถล่ม แผ่นดินไหว และเกิดทะเลสาบขึ้น ทั้งหมดนี้อาจจะทำให้เขื่อนหลายเขื่อนบริเวณนั้นพังทลายได้ ในขณะเดียวกันธารน้ำแข็งที่ละลายจะทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำแถวนั้นเพิ่มมากขึ้นถึง 100 เท่าจากปกติ นั่นอาจหมายถึงน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ประชากรท้องถิ่นที่นี่ได้ฝากชีวิตไว้กับน้ำที่ละลายมาจากธารน้ำแข็งเพื่อที่จะอยู่รอดในฤดูแล้ง เพื่อรอฤดูมรสุมกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่น้ำในแม่น้ำก็มากพออยู่แล้วจากการละลายของน้ำแข็ง Shea บอกว่านั่นจะส่งผลให้น้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้นในระยะยาวอีกด้วย
ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาจากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 50 ปี ของสถานีอากาศในเขตดังกล่าว เพื่อทดสอบและเปรียบเทียบว่าโปรแกรมพยากรณ์ของพวกเขาทำนายได้ถูกต้องหรือไม่ และได้นำข้อมูลเหล่านี้มาช่วยเพิ่มความแม่นยำของโปรแกรม จากนั้นพวกเขาได้ใส่ค่าอุณภูมิในปัจจุบันลงไป พบว่าจะเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทั้งปริมาณหิมะ ฝน และอัตราการละลายของน้ำแข็ง
“เพื่อตรวจสอบความแม่นยำของโปรแกรมนี้ เราได้ใส่ค่าอุณหภูมิย้อนหลังเพื่อเปรียบเทียบถึง 8 ค่าด้วยกัน และยังเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งในอดีตกับอุณหภูมิในตอนนั้นอีกด้วย” Walter Immerzeel ผู้เขียนร่วมในการศึกษาครั้งนี้จากมหาวิทยาลัย Utrecht University ประเทศเนเธอแลนด์ พวกเขาพบว่าในปี 2100 น้ำแข็งจะหายไปจนเกือบหมด
ลิ้งค์อ้างอิง : Scientists Predict Everest Could Be Ice-Free By The End Of This Century